วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

บทที่9 ข้อมูลชนิดโครงสร้าง และการจัดการแฟ้มข้อมูล

สรุปบทที่9
เรื่อง ข้อมูลชนิดโครงสร้าง และการจัดการแฟ้มข้อมูล
ข้อมูลโครงสร้าง มีรูปแบบการจัดเก็บข้อมูลที่เหมือนกับระเบียบหรือเรคอร์ด ที่แต่ละฟิลด์ภายในเรคอร์ดนั้น สามารถมีชนิดข้อมูลแตกต่างกันได้
                กรณีที่ต้องการจัดเก็บข้อมูลโครงสร้างหลายๆ เรคอร์ด การประกาศโครงสร้างหลายๆ ตัวแปร คงไม่เหมาะสม ดังนั้น วิธีแก้ไขก็คือ การนำเอาอาร์เรย์มาช่วย ด้วยการประกาศเป็น อาร์เรย์ของโครงสร้าง
                เท็กซ์ไฟล์ เป็นแฟ้มที่จัดเก็บข้อความ ซึ่งมีคุณลักษณะสำคัญคือ จะบันทึกข้อมูลที่เป็นข้อความต่างๆ ตามรหัสแอสกีของแต่ละตัวอักขระ ดังนั้น เท็กซ์ไฟล์จึงสามารถถูกเปิดอ่านด้วยโปรแกรม Notepad และสามารถอ่านข้อความที่บันทึกไว้ได้อย่างเข้าใจ
                ไบนารีไฟล์ เป็นแฟ้มข้อมูลที่จัดเก็บข้อมูลชนิดเลขฐานสอง ดังนั้น ไบนารีไฟล์เมื่อถูกเปิดด้วยโปรแกรม Notepad แล้ว จะเป็นรหัสข้อมูลต่างๆ ที่อ่านไม่รู้เรื่อง เนื่องจากเป็นภาษาเครื่องนั่นเอง
                ฟังก์ชัน fopen() นำมาใช้เพื่อการเปิดแฟ้มข้อมูลตามโหมดที่ต้องการ
                ฟังก์ชัน fclose() นำมาใช้เพื่อการปิดข้อมูล
                ฟังก์ชัน fprintf() เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับบันทึกข้อมูลลงในแฟ้ม
                ฟังก์ชัน fscanf() เป็นฟังก์ชันที่นำมาใช้สำหรับการอ่านข้อมูลจากแฟ้ม

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ข้อมูลชนิดโครงสร้าง และการจัดการแฟ้มข้อมูล

บทที่8 การสร้างฟังก์ชันและตัวแปรชนิดพอยน์เตอร์

สรุปบทที่ 8
เรื่อง การสร้างฟังก์ชันและตัวแปรชนิดพอยน์เตอร์   

การเขียนโปรแกรมในภาษาซี  จำเป็นต้องแบ่งโปรแกรมออกเป็น ฟังก์ชันย่อยๆ ก็เพราะว่า
1. เพื่อเป็นไปตามหลักการของการโปรแกรมเชิงโครงสร้าง
2. เพื่อง่ายต่อการตรวจสอบ และการบำรุงรักษา
3. เพื่อหลีกเลี่ยงการเขียนชุดคำสั่งเดิม ที่ทำงานซ้ำๆ
4. เพื่อสร้างกลุ่มคำสั่งประมวลผลเฉพาะงาน
ฟังก์ชัน มีความแตกต่างกับโพรซีเยอร์ คือ ฟังก์ชันจะต้องมีการคืนค่ากลับเสมอ โดยชนิดข้อมูลที่คืนค่ากลับไป อาจมีชนิดข้อมูลประเภท int, float หรือ char เป็นต้น
ปกติชนิดข้อมูลที่คืนค่ากลับไปยังฟังก์ชัน main() คือเลขจำนวนเต็ม หรือ int 
การเข้าถึงฟังก์ชัน โดยปกติจะมีอยู่ 3 รูปแบบด้วยกันคือ
1. ฟังก์ชันที่ไม่มีการส่งผ่านค่าใดๆลงไป
2. ฟังก์ชันที่มีการส่งผ่านค่าทางเดียว
3. ฟังก์ชันที่จะส่งผ่านค่าไปและคืนค่ากลับมา
กรณีที่โปรแกรมได้นำฟังก์ชันที่สร้างขึ้นเอง อยู่ถัดจากฟังก์ชัน main() จำเป็นต้องประกาศฟังก์ชันต้นแบบที่ต้นโปรแกรมด้วย 
พอยน์เตอร์หรือตัวชี้ เป็นตัวแปรประเภทหนึ่ง ที่มีความแตกต่างจากตัวแปรเก็บข้อมูลทั่วไป ซึ่งแทนที่จะจัดเก็บข้อมูล กลับเก็บที่อยู่ของตัวแปรอื่นแทน
เครื่องหมาย & ที่ใช้กับพอยน์เตอร์ หมายความว่า ที่อยู่ของ
เครื่องหมาย * ที่ใช้กับพอยน์เตอร์ หมายความว่า ค่าที่บรรจุอยู่ในแอดเดรสนั้น
ตามปกติ โปรแกรมทั่วไปมิได้ใช้ประโยชน์จากพอยน์เตอร์ แต่พอยน์เตอร์มักนำไปใช้จัดการกับโครงสร้างข้อมูลที่ซับซ้อนอย่างสแต็ก คิว และลิงก์ลิสต์ เป็นต้น

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การสร้างฟังก์ชันและตัวแปรชนิดพอยน์เตอร์

บทที่7 อาร์เรย์ และฟังก์ชันจัดการสตริง



สรุปบทที่7
เรื่อง อาร์เรย์ และฟังก์ชันจัดการสตริง
อาร์เรย์ เป็นตัวแปรประเภทหนึ่งที่เหมาะกับการนำไปใช้งานเพื่อประมวลผลกลุ่มชุดข้อมูลเดียวกัน ทำให้อ้างอิงเพื่อใช้งานง่ายกว่า
การอ้างอิงตำแหน่งของอาร์เรย์ในแต่ละอิลิเมนต์ จะใช้เลขดัชนี หรือขับสคริปต์เป็นตัวชี้ระบุ
ตำแหน่งอาร์เรย์ในภาษาซี เริ่มต้นที่ค่าศูนย์
ตัวแปร อาร์เรย์แบบ 1 มิติ และ อาร์เรย์แบบ 2 มิติ มักถูกนำมาใช้งานมากที่สุด
ข้อความหรือสตริง ก็คืออาร์เรย์ของตัวอักขระ
ฟังก์ชันจัดการสตริง ถูกประกาศใช้งานอยู่ในเฮดเดอร์ไฟล์ <string.h>
ฟังก์ชั่น strcpy() นำมาใช้เพื่อคัดลอกข้อความไปเก็บไว้ในตัวแปร หรือคัดลอกจากตัวแปรสตริงหนึ่งไปเก็บไว้ยังตัวแปรของอีกสตริงหนึ่ง
ฟังก์ชัน strlen() เป็นฟังก์ชันที่นำมาใช้เพื่อนับจำนวนตัวอักขระที่บรรจุอยู่ในสตริง
ฟังก์ชัน strcmp() เป็นฟังก์ชันที่นำมาใช้เพื่อเปรียบเทียบสตริง ตัว ว่าตรงกันหรือไม่
ฟังก์ชัน strcat()  เป็นฟังก์ชันที่นำมาใช้เพื่อผนวกสตริง 2 สตริงเข้าด้วยกัน
ฟังก์ชัน strlwr() เป็นฟังก์ชันที่นำมาใช้แปลงข้อความให้เป็นตัวพิมพ์เล็ก
ฟังก์ชัน strupr() เป็นฟังก์ชันที่นำมาใช้แปลงข้อความให้เป็นตัวพิมพ์ใหญ่
ฟังก์ชัน strrev() เป็นฟังก์ชันที่นำมาใช้งานเพื่อสลับตำแหน่งข้อความแบบกลับหัว
ฟังก์ชัน gets() เป็นฟังก์ชันที่นำมาใช้เพื่อรับค่าข้อความสตริง ซึ่งสามารถบรรจุข้อความระหว่างสตริงได้
ฟังก์ชัน puts() เป็นฟังก์ชันที่นำมาใช้พิมพ์ข้อความ หรือตัวแปรสตริง
ฟังก์ชันที่นำมาใช้เพื่อแปลงข้อความสตริงที่เก็บตัวเลข มาเป็นค่าตัวเลขที่สามารถนำไปคำนวณได้ จะถูกประกาศใช้งานอยู่ในเฮดเดอร์ไฟล์ <stdlib.h>
ฟังก์ชัน atof() เป็นฟังก์ชันที่นำมาใช้แปลงข้อความตัวเลขเป็นค่าตัวเลขที่นำมาคำนวณได้ โดยมีชนิดข้อมูลเป็น double
ฟังก์ชัน atoi() เป็นฟังก์ชันที่นำมาใช้แปลงข้อความตัวเลขเป็นค่าตัวเลขที่นำมาคำนวณได้ โดยมีชนิดข้อมูลเป็น int
ฟังก์ชัน atoll() เป็นฟังก์ชันที่นำมาใช้แปลงข้อความตัวเลขเป็นตัวเลขที่นำมาคำนวณได้ โดยมีชนิดข้อมูลเป็น long int



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เรื่อง อาร์เรย์ และฟังก์ชันจัดการสตริง



บทที่6 คำสั่งควบคุมเงื่อนไขและการทำงานเป็นรอบ

สรุปบทที่ 6
เรื่อง  คำสั่งควบคุมเงื่อนไขและการทำงานเป็นรอบ

ประโยคเงื่อนไข if  มีรูปแบบการเขียนในลักษณะต่างๆดังนี้
1.การสร้างเงื่อนไขประโยคเดียว
2.การสร้างเงื่อนไข  if…else
3.การสร้างเงื่อนไข if…else แบบหลายกรณี
4.การสร้างเงือนไขแบบซ้อน (Netsted if)
นอกจาก if-else แล้ว ภาษาซียังมีคำสั่งควบคุมเงื่อนไขอีกตัวหนึ่งคือ switch….case
อย่างไรก็ตาม switch….case นำมาใช้งานได้ดีกับโปรแกรมที่มีรายการเมนูให้เลือกและไม่สามารถนำมาใช้ตรวจสอบเงื่อนไขที่ใช้ตัวแปร และเลขจำจวนจริงได้
ภาษาซี มีชุดคำสั่งทำงานเป็นรอบ ดังนี้
การทำงานเป็นรอบด้วยลูป while จะทำการตรวจสอบเงื่อนไขก่อนดำเนินการเสมอ ดังนั้น ชุดคำสั่งภายในลูปอาจมิได้ถูกประมวลผลเลยก็ได้ หากตรวจสอบเงื่อนไขครั้งแรกแล้วมีค่าเป็นเท็จ
การทำงานเป็นรอบด้วยลูป do-while จะกระทำชุดคำสั่งภายในลูปอย่างน้อยรอบหนึ่งเสมอ
การทำงานเป็นรอบด้วยลูป for เหมาะกับกรณีมีจำนวนรอบการทำงานที่แน่นอน
การใช้คำสั่ง
คำสั่ง Break สามารถนำมาใช้เพื่อสั่งให้หลุดออกจากลูปตามเงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้

คำสั่ง continue นำไปใช้งานเพื่อสั่งให้วกกลับไปทำงานซ้ำที่ต้นลูป ดังนั้น ชุดคำสั่งที่อยู่ถัดจากคำสั่งcontinue จึงมิได้ถูกประมาณผล


รูปภาพที่เกี่ยวข้อง